การประสูติเป็นพระพุทธเจ้า
ไข่เกิดจากท้องแม่ไก่ โดยแม่ไก่เป็นผู้ใช้แรงกายขับออกมา เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่พระสิทธัตถะโพธิสัตว์ประสูติจากพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา ก็เป็นการประสูติด้วยแรงของมารดาเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว การเปรียบเทียบที่เหมาะสมคือ เปรียบดั่งลูกไก่ที่ต้องใช้เรี่ยวแรงของตนเองเจาะเปลือกไข่ออกมา ลูกไก่มิได้อาศัยแรงของแม่ แต่ต้องใช้ความพยายามของตนเอง ทั้งกำลังปาก กำลังเล็บ เพื่อทะลวงเปลือกออกมาได้ฉันใด
พระพุทธเจ้าก็ฉันนั้น การตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธะ มิใช่เกิดจากแรงภายนอก หรือแรงของมารดา แต่เป็นผลจาก เรี่ยวแรง ความเพียร สติ และปัญญา ของพระองค์เองโดยแท้ และนับแต่วันประสูติแล้ว มารดาก็สิ้นพระชนม์ลงในเวลาเจ็ดวัน จึงมิอาจช่วยเหลือในการเจริญเติบโตทางธรรมได้เลย
พระพุทธเจ้าเสด็จตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โดยไม่ต้องมีครู อาจารย์ หรือผู้ชี้แนะหนทาง ซึ่งเป็นลักษณะของ สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ยิ่งใหญ่และทรงคุณธรรมอันสูงสุด
"วาจาที่กล่าวอย่างอาจหาญของพระพุทธเจ้า"
เมื่อพระพุทธองค์ทรงบรรลุพระอรหันตสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จึงสามารถตรัสถ้อยคำอันยิ่งใหญ่นี้ได้ว่า "พระองค์เป็นผู้ประเสริฐสูงสุด" ทั้งนี้เพราะพระองค์สามารถหลุดพ้นออกจาก "เปลือกไข่แห่งความเป็นปุถุชน" เข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์ได้ก่อนผู้ใดในโลก
พระองค์ทรงเป็นผู้เลิศสูงสุด เพราะเป็นบุคคลเดียวที่สามารถทำหน้าที่เป็น ครูของชาวโลกทั้งหลายในสังสารวัฏ ไม่ว่าจะเป็นโลกของมนุษย์ เทวดา พรหม หรือแม้แต่มาร พระองค์ทรงเป็น "เชฏฐะ" ซึ่งแปลว่า "ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด" หรือ "พี่ใหญ่" อันหมายถึง ผู้บรรลุธรรมเป็นองค์แรก ในหมู่สาวกทั้งหลาย
ดังนั้น เมื่อพระองค์ทรงย่างพระบาทครบเจ็ดก้าวภายหลังประสูติ จึงสามารถเปล่งวาจาอันเป็นพุทธสุภาษิตได้ว่า
"อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส?เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส?อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว"
แปลว่า:
"เรานี้เป็นผู้เลิศในโลก เป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เป็นผู้สูงสุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้จะไม่เกิดอีกต่อไป"
ถ้อยคำดังกล่าวยืนยันถึงการตรัสรู้และการหลุดพ้นจากวัฏสงสารโดยสิ้นเชิง อันเป็นลักษณะเฉพาะของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน
พระพุทธรูปที่แท้จริง
สิทธัตถะกุมารยังมิได้เป็นพระพุทธเจ้า จนกว่าจะได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ กล่าวคือ พระสิทธัตถะทรงเป็นเพียง "โพธิสัตว์" ผู้แสวงหาธรรมเพื่อความหลุดพ้น หากมิได้ตรัสรู้ ก็ย่อมมิได้ชื่อว่า "พระพุทธเจ้า"
ดังนั้น "รูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า" จึงมิใช่รูปกายภายนอก หรือองค์พระพุทธรูปที่เราสร้างขึ้นเพื่อเคารพบูชา แต่คือ ธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้แล้วนำมาประกาศ และธรรมะนั้นก็คือ อริยสัจ ๔ อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา
ดังที่พระองค์ตรัสไว้ใน ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร ว่า:
"โย ธัมมัง ปัสสะติ โส มัง ปัสสะติ"
แปลว่า: "ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเราตถาคต"
เมื่อใดที่ผู้ปฏิบัติธรรมเห็น อริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาของตนเอง เข้าใจความจริงของทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และทางแห่งความดับทุกข์ เมื่อนั้นแหละ คือการได้ ประจักษ์พระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงในใจของตนเอง
ดังนั้น เมื่อหนู (ผู้ปฏิบัติ) เริ่มเห็นอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาของตนเอง นั่นเท่ากับว่า หนูได้ เห็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ในความหมายทางธรรมะ มิใช่ในรูปแบบกายภาพ แต่ในความเข้าใจแจ่มแจ้งต่อธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ ซึ่งเป็น "พระพุทธรูป" ที่เกิดขึ้นจากภายในใจ
"ลายแทงพุทธมหาสมบัติ"
ธรรมกายของพระพุทธเจ้าคือ อริยสัจ 4 อันเป็นธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว และเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา พระพุทธรูปที่เราเคารพบูชาในรูปกายภายนอกนั้น เป็นเพียงสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า แต่ รูปร่างที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า คือ อริยสัจ 4 นั่นเอง
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมะนี้ ดังนั้น ผู้ใดที่ปฏิบัติธรรมและประจักษ์แจ้งในอริยสัจ 4 ด้วยปัญญาของตนเอง ก็เสมือนหนึ่งว่าได้ เห็นรูปร่างของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง หรือได้เห็น พระพุทธรูปองค์จริง ซึ่งมิได้อยู่ที่รูปเคารพ แต่คือธรรมะที่ประจักษ์ในใจ
การเห็นอริยสัจ 4 อย่างแจ่มแจ้งเท่ากับได้เห็น พระธรรมองค์จริง และพระสงฆ์องค์จริง เพราะพระธรรมเป็นแก่นของพระพุทธเจ้า ส่วนพระสงฆ์นั้นคือผู้ปฏิบัติธรรมตามแนวทางนั้นจนบรรลุธรรม
เมื่อเห็นอริยสัจ 4 นี้แล้ว ผู้ปฏิบัติจะรู้ถึงที่มาของพระพุทธเจ้า เข้าใจเส้นทางที่พระองค์ทรงดำเนินเพื่อไปสู่มรรคผลนิพพาน เปรียบเสมือนเห็น รอยพระพุทธบาท หรือ ลายแทงสมบัติแห่งพุทธธรรม ที่ชี้นำหนทางสู่ความหลุดพ้น
ถ้าผู้ใดเดินตามทางนี้อย่างถูกต้องและมั่นคง ย่อมไม่หลงทางหรือผิดพลาด เพราะเส้นทางนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว คือเส้นทางแห่งมรรค ผล และนิพพาน ซึ่งเป็นหนทางเดียวสู่ความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
📅 April 23, 2025, 3:42 pm